SQL
SQL ย่อมาจาก Structured Query Language เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ภาษา SQL ได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดย IBM ในปี 1970 และได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะในปี 1974 ภาษา SQL เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและได้รับการสนับสนุนจากระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RDBMS) มากมาย เช่น Oracle, MySQL, PostgreSQL และ Microsoft SQL Server
ภาษา SQL ประกอบด้วยคำสั่งต่างๆ มากมายที่สามารถใช้ในการจัดการฐานข้อมูลได้ เช่น การสร้างตาราง การใส่ข้อมูลลงในตาราง การแก้ไขข้อมูลในตาราง การลบข้อมูลออกจากตาราง การค้นหาข้อมูลในตาราง การรวมข้อมูลจากหลายตารางเข้าด้วยกัน และการสำรองข้อมูลและกู้คืนข้อมูล
ภาษา SQL เป็นภาษาที่มีประสิทธิภาพและใช้งานง่าย การเรียนรู้ภาษา SQL จะช่วยให้คุณเข้าใจโครงสร้างของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์และสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาษา SQL เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล และผู้ใช้ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ทุกคน
ประโยชน์ของการใช้ภาษา SQL:
- มีประสิทธิภาพ: ภาษา SQL เป็นภาษาที่มีประสิทธิภาพในการค้นหาข้อมูลในฐานข้อมูล
- ใช้งานง่าย: ภาษา SQL เป็นภาษาที่ใช้งานง่ายและเรียนรู้ได้ง่าย
- หลากหลาย: ภาษา SQL สามารถใช้จัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ได้หลากหลายประเภท
- มาตรฐาน: ภาษา SQL เป็นภาษามาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
วิธีติดตั้ง SQL ร่วมกับ SQL Workbench
SQL Workbench เป็นเครื่องมือฟรีที่พัฒนาโดย MySQL AB สามารถใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล MySQL และดำเนินการคำสั่ง SQL SQL Workbench สามารถใช้บนระบบปฏิบัติการ Windows, Linux และ Mac OS X9
ต่อไปเราจะแนะนำวิธีการติดตั้ง SQL ร่วมกับ SQL Workbench บนระบบปฏิบัติการ Windows
ความต้องการของระบบ
ก่อนติดตั้ง SQL Workbench ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคอมพิวเตอร์ของคุณตรงตามความต้องการของระบบดังต่อไปนี้:
- ระบบปฏิบัติการ Windows 7 หรือใหม่กว่า
- หน่วยความจำอย่างน้อย 1 GB
- พื้นที่ดิสก์ว่างอย่างน้อย 10 GB
การติดตั้ง SQL Workbench
เมื่อคอมพิวเตอร์ของคุณตรงตามความต้องการของระบบแล้ว คุณสามารถเริ่มติดตั้ง SQL Workbench ได้ ขั้นตอนการติดตั้งจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการของคุณ แต่โดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้:
- ไปที่เว็บไซต์ MySQL และดาวน์โหลดตัวติดตั้ง SQL Workbench
- เปิดตัวติดตั้งและทำตามคำแนะนำบนหน้าจอ
- เมื่อการติดตั้งเสร็จสิ้น คุณจะสามารถเริ่มใช้ SQL Workbench ได้
การใช้ SQL Workbench
เมื่อคุณติดตั้ง SQL Workbench แล้ว คุณสามารถเริ่มใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล MySQL และดำเนินการคำสั่ง SQL ใน SQL Workbench คุณสามารถสร้างการเชื่อมต่อใหม่กับฐานข้อมูล MySQL โดยใช้ชื่อโฮสต์ ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่านของฐานข้อมูล MySQL เมื่อคุณสร้างการเชื่อมต่อแล้ว คุณสามารถดำเนินการคำสั่ง SQL บนฐานข้อมูล MySQL โดยใช้อินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) ของ SQL Workbench
การอัปเดต SQL Workbench
MySQL ออกการอัปเดตสำหรับ SQL Workbench เป็นประจำ การอัปเดตเหล่านี้มักรวมถึงการแก้ไขข้อบกพร่องและคุณสมบัติใหม่ สิ่งสำคัญคือต้องอัปเดต SQL Workbench เป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าคุณใช้เวอร์ชันล่าสุดและได้รับการปกป้องจากช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
ภาษา SQL ประกอบด้วยคำสั่งต่างๆ มากมายที่สามารถใช้ในการจัดการฐานข้อมูลได้ เช่น การสร้างตาราง การใส่ข้อมูลลงในตาราง การแก้ไขข้อมูลในตาราง การลบข้อมูลออกจากตาราง การค้นหาข้อมูลในตาราง การรวมข้อมูลจากหลายตารางเข้าด้วยกัน และการสำรองข้อมูลและกู้คืนข้อมูล
ไวยากรณ์ของ SQL ประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ มากมาย ดังนี้
- คีย์เวิร์ด : คำสำคัญที่ใช้เพื่อกำหนดคำสั่ง SQL เช่น SELECT, INSERT, UPDATE, DELETE, JOIN, BACKUP และ RESTORE
- ตัวระบุ : ชื่อของวัตถุในฐานข้อมูล เช่น ตาราง คอลัมน์ และดัชนี
- ค่าคงที่ : ค่าคงที่ เช่น ตัวเลข ข้อความ และวันที่
- ตัวดำเนินการ : สัญลักษณ์ที่ใช้เพื่อดำเนินการทางคณิตศาสตร์ ตรรกศาสตร์ และเปรียบเทียบ เช่น +, -, *, /, =, <, >, <= และ >=
- วงเล็บ : วงเล็บที่ใช้เพื่อจัดกลุ่มนิพจน์
ตัวอย่างการใช้งาน Syntax ของ SQL
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้งานไวยากรณ์ของ SQL:
CREATE TABLE
คำสั่ง CREATE TABLE เป็นคำสั่งที่ใช้เพื่อสร้างตารางในฐานข้อมูล คำสั่ง CREATE TABLE ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- CREATE TABLE : คำสำคัญที่ใช้ระบุคำสั่ง CREATE TABLE
- table_name : ชื่อของตารางที่คุณต้องการสร้าง
- column_definition_list : รายการของคอลัมน์ที่คุณต้องการสร้างในตาราง
แต่ละคอลัมน์ในรายการคอลัมน์มีรูปแบบดังนี้:
column_name data_type [column_constraint_list]
- column_name : ชื่อของคอลัมน์
- data_type : ชนิดของข้อมูลที่จะเก็บไว้ในคอลัมน์
- column_constraint_list : รายการของข้อกำหนดที่บังคับใช้กับคอลัมน์
ข้อกำหนดทั่วไปบางส่วนที่ใช้กับคอลัมน์ ได้แก่
- NOT NULL : คอลัมน์ไม่สามารถมีค่า NULL
- UNIQUE : คอลัมน์ต้องมีค่าที่ไม่ซ้ำกัน
- PRIMARY KEY : คอลัมน์ที่ระบุระเบียนแต่ละระเบียนในตาราง
- FOREIGN KEY : คอลัมน์ที่เชื่อมโยงกับคอลัมน์ในตารางอื่น
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง CREATE TABLE ต่อไปนี้จะสร้างตารางชื่อ customers ที่มีคอลัมน์ชื่อ id, name, address, city, state, zipcode และ age:
CREATE TABLE customers (
id INT NOT NULL AUTO_INCREMENT,
name VARCHAR(255),
address VARCHAR(255),
city VARCHAR(255),
state VARCHAR(255),
zipcode VARCHAR(10),
age INT,
PRIMARY KEY (id)
);
คำสั่ง CREATE TABLE สามารถสร้างตารางได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ คุณสามารถดูเอกสารของระบบการจัดการฐานข้อมูลของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
DROP TABLE
คำสั่ง DROP TABLE เป็นคำสั่งที่ใช้เพื่อลบตารางออกจากฐานข้อมูล คำสั่ง DROP TABLE ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- DROP TABLE : คำสำคัญที่ใช้ระบุคำสั่ง DROP TABLE
- table_name : ชื่อของตารางที่คุณต้องการลบ
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง DROP TABLE ต่อไปนี้จะลบตารางชื่อ customers:
DROP TABLE customers;
คำสั่ง DROP TABLE สามารถใช้เพื่อลบตารางออกจากฐานข้อมูลได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ คุณสามารถดูเอกสารของระบบการจัดการฐานข้อมูลของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่างวิธีการต่างๆ พร้อมข้อมูลและผลลัพธ์ที่ได้จากการทำแบบนี้
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีการต่างๆ ที่ใช้คำสั่ง DROP TABLE เพื่อลบตารางออกจากฐานข้อมูล:
- ลบตารางทั้งหมด : ลบตารางทั้งหมดออกจากฐานข้อมูล
- ลบตารางเฉพาะ : ลบตารางเฉพาะออกจากฐานข้อมูล
- ลบตารางตามเงื่อนไข : ลบตารางตามเงื่อนไข
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง DROP TABLE ต่อไปนี้จะลบตารางทั้งหมดออกจากฐานข้อมูลชื่อ mydb:
DROP TABLE mydb.*
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง DROP TABLE ต่อไปนี้จะลบตารางชื่อ customers ออกจากฐานข้อมูลชื่อ mydb:
DROP TABLE mydb.customers;
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง DROP TABLE ต่อไปนี้จะลบตารางชื่อ customers ออกจากฐานข้อมูลชื่อ mydb ถ้าตารางนั้นว่างเปล่าเท่านั้น:
SQL
DROP TABLE IF EXISTS mydb.customers;
ผลลัพธ์ของคำสั่ง DROP TABLE จะเป็นตารางที่ถูกลบออกจากฐานข้อมูล
INSERT INTO
คำสั่ง INSERT INTO เป็นคำสั่งที่ใช้เพื่อเพิ่มข้อมูลลงในตารางในฐานข้อมูล คำสั่ง INSERT INTO ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- INSERT INTO : คำสำคัญที่ใช้ระบุคำสั่ง INSERT INTO
- table_name : ชื่อของตารางที่คุณต้องการเพิ่มข้อมูลเข้าไป
- column_list : รายการของคอลัมน์ที่คุณต้องการเพิ่มข้อมูลเข้าไป
- values : รายการของค่าที่จะเพิ่มลงในคอลัมน์
แต่ละค่าในรายการค่ามีรูปแบบดังนี้:
value [, value]...
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง INSERT INTO ต่อไปนี้จะเพิ่มข้อมูลสองระเบียนลงในตารางชื่อ customers:
INSERT INTO customers (name, address, city, state, zipcode, age) VALUES
('John Doe', '123 Main Street, Anytown, CA', 'Los Angeles', 'CA', '91234', 25),
('Jane Doe', '456 Elm Street, Anytown, CA', 'Los Angeles', 'CA', '91234', 23);
ผลลัพธ์ของคำสั่ง INSERT INTO จะเป็นการเพิ่มข้อมูลสองระเบียนลงในตารางชื่อ customers
UPDATE
คำสั่ง UPDATE เป็นคำสั่งที่ใช้เพื่อแก้ไขข้อมูลในตารางในฐานข้อมูล คำสั่ง UPDATE ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- UPDATE : คำสำคัญที่ใช้ระบุคำสั่ง UPDATE
- table_name : ชื่อของตารางที่คุณต้องการแก้ไขข้อมูล
- SET : รายการของค่าที่จะแก้ไขข้อมูลในคอลัมน์
- WHERE : เงื่อนไขที่ใช้ในการกรองระเบียนที่คุณต้องการแก้ไขข้อมูล
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง UPDATE ต่อไปนี้จะแก้ไขข้อมูลในตารางชื่อ customers โดยเปลี่ยนที่อยู่ของระเบียนที่มีชื่อ “John Doe” เป็น “123 Main Street, Anytown, CA”:
UPDATE customers SET address = '123 Main Street, Anytown, CA' WHERE name = 'John Doe';
ผลลัพธ์ของคำสั่ง UPDATE จะเป็นการเปลี่ยนที่อยู่ของระเบียนที่มีชื่อ “John Doe” เป็น “123 Main Street, Anytown, CA”
คำสั่ง UPDATE สามารถใช้เพื่อแก้ไขข้อมูลในตารางได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ คุณสามารถดูเอกสารของระบบการจัดการฐานข้อมูลของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่างวิธีการต่างๆ พร้อมข้อมูลและผลลัพธ์ที่ได้จากการทำแบบนี้
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีการต่างๆ ที่ใช้คำสั่ง UPDATE เพื่อแก้ไขข้อมูลในตาราง:
- แก้ไขข้อมูลทั้งหมดในคอลัมน์
คำสั่ง UPDATE ต่อไปนี้จะแก้ไขข้อมูลทั้งหมดในคอลัมน์ address ของตารางชื่อ customers เป็น “123 Main Street, Anytown, CA”:
UPDATE customers SET address = '123 Main Street, Anytown, CA';
- แก้ไขข้อมูลเฉพาะในคอลัมน์
คำสั่ง UPDATE ต่อไปนี้จะแก้ไขข้อมูลเฉพาะในคอลัมน์ address ของตารางชื่อ customers เป็น “123 Main Street, Anytown, CA” สำหรับระเบียนที่มีชื่อ “John Doe”:
UPDATE customers SET address = '123 Main Street, Anytown, CA' WHERE name = 'John Doe';
- แก้ไขข้อมูลตามเงื่อนไข
คำสั่ง UPDATE ต่อไปนี้จะแก้ไขข้อมูลในคอลัมน์ address ของตารางชื่อ customers เป็น “123 Main Street, Anytown, CA” สำหรับระเบียนที่มีที่อยู่เริ่มต้นด้วย “123 Main Street”:
UPDATE customers SET address = '123 Main Street, Anytown, CA' WHERE address LIKE '123 Main Street%';
- แก้ไขข้อมูลหลายคอลัมน์
คำสั่ง UPDATE ต่อไปนี้จะแก้ไขข้อมูลในคอลัมน์ address และ city ของตารางชื่อ customers เป็น “123 Main Street, Anytown, CA” และ “Los Angeles” ตามลำดับ สำหรับระเบียนที่มีชื่อ “John Doe”:
UPDATE customers SET address = '123 Main Street, Anytown, CA', city = 'Los Angeles' WHERE name = 'John Doe';
คำสั่ง UPDATE สามารถใช้เพื่อแก้ไขข้อมูลในตารางได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ และความต้องการของคุณ
DELETE
คำสั่ง DELETE
คำสั่ง DELETE เป็นคำสั่งที่ใช้เพื่อลบข้อมูลออกจากตารางในฐานข้อมูล คำสั่ง DELETE ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- DELETE : คำสำคัญที่ใช้ระบุคำสั่ง DELETE
- table_name : ชื่อของตารางที่คุณต้องการลบข้อมูล
- WHERE : เงื่อนไขที่ใช้ในการกรองระเบียนที่คุณต้องการลบข้อมูล
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง DELETE ต่อไปนี้จะลบข้อมูลออกจากตารางชื่อ customers โดยลบระเบียนที่มีชื่อ “John Doe”:
DELETE FROM customers WHERE name = 'John Doe';
ผลลัพธ์ของคำสั่ง DELETE จะเป็นลบระเบียนที่มีชื่อ “John Doe” ออกจากตารางชื่อ customers
คำสั่ง DELETE สามารถใช้เพื่อลบข้อมูลออกจากตารางได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ คุณสามารถดูเอกสารของระบบการจัดการฐานข้อมูลของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่างวิธีการต่างๆ พร้อมข้อมูลและผลลัพธ์ที่ได้จากการทำแบบนี้
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีการต่างๆ ที่ใช้คำสั่ง DELETE เพื่อลบข้อมูลออกจากตาราง:
- ลบข้อมูลทั้งหมดจากตาราง
คำสั่ง DELETE ต่อไปนี้จะลบข้อมูลทั้งหมดออกจากตารางชื่อ customers:
DELETE FROM customers;
- ลบข้อมูลเฉพาะจากตาราง
คำสั่ง DELETE ต่อไปนี้จะลบข้อมูลเฉพาะจากตารางชื่อ customers สำหรับระเบียนที่มีชื่อ “John Doe”:
DELETE FROM customers WHERE name = 'John Doe';
- ลบข้อมูลตามเงื่อนไข
คำสั่ง DELETE ต่อไปนี้จะลบข้อมูลจากตารางชื่อ customers สำหรับระเบียนที่มีที่อยู่เริ่มต้นด้วย “123 Main Street”:
DELETE FROM customers WHERE address LIKE '123 Main Street%';
- ลบข้อมูลหลายระเบียน
คำสั่ง DELETE ต่อไปนี้จะลบข้อมูลสองระเบียนจากตารางชื่อ customers:
DELETE FROM customers WHERE id IN (1, 2);
คำสั่ง DELETE สามารถใช้เพื่อลบข้อมูลออกจากตารางได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ และความต้องการของคุณ
SELECT
สั่ง SELECT เป็นคำสั่งพื้นฐานที่สุดในภาษา SQL ใช้ในการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล คำสั่ง SELECT ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- SELECT : รายการของคอลัมน์ที่คุณต้องการดึงข้อมูล
- FROM : ชื่อของตารางที่ข้อมูลอยู่ใน
- WHERE : เงื่อนไขที่ใช้ในการกรองข้อมูล
- GROUP BY : คอลัมน์ที่ใช้ในการจัดกลุ่มข้อมูล
- HAVING : เงื่อนไขที่ใช้ในการกรองข้อมูลที่ถูกจัดกลุ่ม
- ORDER BY : คอลัมน์ที่ใช้ในการเรียงข้อมูล
ตัวอย่างคำสั่ง SELECT ต่อไปนี้จะดึงชื่อและที่อยู่ของลูกค้าทั้งหมดจากตาราง customers
SELECT name, address FROM customers;
ตัวอย่างคำสั่ง SELECT ต่อไปนี้จะดึงชื่อและที่อยู่ของลูกค้าทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิสจากตาราง customers:
SELECT name, address FROM customers WHERE city = 'Los Angeles';
ตัวอย่างคำสั่ง SELECT ต่อไปนี้จะดึงชื่อและที่อยู่ของลูกค้าทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิสและมีอายุมากกว่า 18 ปีจากตาราง customers:
SELECT name, address FROM customers WHERE city = 'Los Angeles' AND age > 18;
ตัวอย่างคำสั่ง SELECT ต่อไปนี้จะดึงชื่อและที่อยู่ของลูกค้าทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิสและมีอายุมากกว่า 18 ปีและเรียงข้อมูลตามชื่อจากน้อยไปมาก:
SELECT name, address FROM customers WHERE city = 'Los Angeles' AND age > 18 ORDER BY name DESC;
คำสั่ง SELECT เป็นคำสั่งที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมxาก สามารถใช้เพื่อดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ การเรียนรู้วิธีใช้คำสั่ง SELECT จะช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูลของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกมากขึ้น
JOIN
คำสั่ง JOIN
คำสั่ง JOIN เป็นคำสั่งที่ใช้เพื่อรวมข้อมูลจากสองตารางหรือมากกว่าเข้าด้วยกัน คำสั่ง JOIN ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- JOIN : คำสำคัญที่ใช้ระบุคำสั่ง JOIN
- table_1 : ชื่อของตารางแรก
- table_2 : ชื่อของตารางที่สอง
- ON : เงื่อนไขที่ใช้ในการรวมข้อมูลจากสองตาราง
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง JOIN ต่อไปนี้จะรวมข้อมูลจากตารางชื่อ customers และตารางชื่อ orders โดยรวมข้อมูลของลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้า:
SELECT c.name, o.order_id, o.order_date
FROM customers c
JOIN orders o ON c.id = o.customer_id;
ผลลัพธ์ของคำสั่ง JOIN จะเป็นข้อมูลของลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้า ดังต่อไปนี้:
คำสั่ง JOIN สามารถใช้เพื่อรวมข้อมูลจากสองตารางหรือมากกว่าเข้าด้วยกันได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ คุณสามารถดูเอกสารของระบบการจัดการฐานข้อมูลของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่างวิธีการต่างๆ พร้อมข้อมูลและผลลัพธ์ที่ได้จากการทำแบบนี้
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีการต่างๆ ที่ใช้คำสั่ง JOIN เพื่อรวมข้อมูลจากสองตารางหรือมากกว่าเข้าด้วยกัน:
- INNER JOIN : รวมข้อมูลของระเบียนที่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนด
- LEFT JOIN : รวมข้อมูลของระเบียงทั้งหมดจากตารางแรก และข้อมูลของระเบียนที่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนดจากตารางที่สอง
- RIGHT JOIN : รวมข้อมูลของระเบียงทั้งหมดจากตารางที่สอง และข้อมูลของระเบียนที่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนดจากตารางแรก
- FULL JOIN : รวมข้อมูลของระเบียงทั้งหมดจากทั้งสองตาราง
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง JOIN ต่อไปนี้จะรวมข้อมูลจากตารางชื่อ customers และตารางชื่อ orders โดยรวมข้อมูลของลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้า และข้อมูลของสินค้าทั้งหมดที่ลูกค้าสั่งซื้อ:
SELECT c.name, o.order_id, o.order_date, p.product_id, p.product_name
FROM customers c
JOIN orders o ON c.id = o.customer_id
JOIN products p ON o.product_id = p.id;
ผลลัพธ์ของคำสั่ง JOIN จะเป็นข้อมูลของลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้า และข้อมูลของสินค้าทั้งหมดที่ลูกค้าสั่งซื้อ ดังต่อไปนี้:
คำสั่ง JOIN สามารถใช้เพื่อรวมข้อมูลจากสองตารางหรือมากกว่าเข้าด้วยกันได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ และความต้องการของคุณ
BACKUP
คำสั่ง BACKUP เป็นคำสั่งที่ใช้เพื่อสำรองข้อมูลฐานข้อมูล คำสั่ง BACKUP ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- BACKUP : คำสำคัญที่ใช้ระบุคำสั่ง BACKUP
- database_name : ชื่อของฐานข้อมูลที่คุณต้องการสำรองข้อมูล
- destination : ตำแหน่งที่คุณต้องการเก็บข้อมูลสำรอง
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง BACKUP ต่อไปนี้จะสำรองข้อมูลฐานข้อมูลชื่อ mydb ไปยังไฟล์ชื่อ mydb.bak:
BACKUP DATABASE mydb TO DISK = 'mydb.bak';
คำสั่ง BACKUP สามารถใช้เพื่อสำรองข้อมูลฐานข้อมูลได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ คุณสามารถดูเอกสารของระบบการจัดการฐานข้อมูลของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่างวิธีการต่างๆ พร้อมข้อมูลและผลลัพธ์ที่ได้จากการทำแบบนี้
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีการต่างๆ ที่ใช้คำสั่ง BACKUP เพื่อสำรองข้อมูลฐานข้อมูล:
- สำรองข้อมูลไปยังไฟล์ : สำรองข้อมูลไปยังไฟล์บนดิสก์
- สำรองข้อมูลไปยังเทป : สำรองข้อมูลไปยังเทป
- สำรองข้อมูลไปยังฐานข้อมูลอื่น : สำรองข้อมูลไปยังฐานข้อมูลอื่น
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง BACKUP ต่อไปนี้จะสำรองข้อมูลฐานข้อมูลชื่อ mydb ไปยังเทปชื่อ mydb.bak:
BACKUP DATABASE mydb TO DISK = 'mydb.bak';
ผลลัพธ์ของคำสั่ง BACKUP จะเป็นไฟล์หรือเทปที่มีข้อมูลสำรองของฐานข้อมูล คุณสามารถกู้คืนข้อมูลสำรองเพื่อคืนค่าฐานข้อมูลของคุณในกรณีที่ข้อมูลสูญหายหรือเสียหาย
คำสั่ง BACKUP เป็นคำสั่งที่สำคัญมากสำหรับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของคุณ คุณสามารถสำรองข้อมูลฐานข้อมูลของคุณเป็นประจำเพื่อปกป้องข้อมูลของคุณจากความเสียหายหรือสูญหาย
RESTORE
คำสั่ง RESTORE เป็นคำสั่งที่ใช้เพื่อคืนค่าข้อมูลสำรองของฐานข้อมูล คำสั่ง RESTORE ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- RESTORE : คำสำคัญที่ใช้ระบุคำสั่ง RESTORE
- database_name : ชื่อของฐานข้อมูลที่คุณต้องการคืนค่าข้อมูล
- source : ตำแหน่งที่เก็บข้อมูลสำรอง
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง RESTORE ต่อไปนี้จะคืนค่าข้อมูลสำรองของฐานข้อมูลชื่อ mydb จากไฟล์ชื่อ mydb.bak:
RESTORE DATABASE mydb FROM DISK = 'mydb.bak';
คำสั่ง RESTORE สามารถใช้เพื่อคืนค่าข้อมูลสำรองของฐานข้อมูลได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการฐานข้อมูลที่คุณใช้ คุณสามารถดูเอกสารของระบบการจัดการฐานข้อมูลของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ตัวอย่างวิธีการต่างๆ พร้อมข้อมูลและผลลัพธ์ที่ได้จากการทำแบบนี้
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีการต่างๆ ที่ใช้คำสั่ง RESTORE เพื่อคืนค่าข้อมูลสำรองของฐานข้อมูล:
- คืนค่าข้อมูลสำรองไปยังฐานข้อมูลเดิม : คืนค่าข้อมูลสำรองไปยังฐานข้อมูลเดิม
- คืนค่าข้อมูลสำรองไปยังฐานข้อมูลใหม่ : คืนค่าข้อมูลสำรองไปยังฐานข้อมูลใหม่
- คืนค่าข้อมูลสำรองไปยังตำแหน่งใหม่ : คืนค่าข้อมูลสำรองไปยังตำแหน่งใหม่
ตัวอย่างเช่น คำสั่ง RESTORE ต่อไปนี้จะคืนค่าข้อมูลสำรองของฐานข้อมูลชื่อ mydb จากไฟล์ชื่อ mydb.bak ไปยังฐานข้อมูลใหม่ชื่อ mydb_new:
SQL
RESTORE DATABASE mydb_new FROM DISK = 'mydb.bak';
ผลลัพธ์ของคำสั่ง RESTORE จะเป็นการสร้างฐานข้อมูลใหม่ขึ้นมาจากข้อมูลสำรองของฐานข้อมูลเดิม คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูลใหม่ได้เหมือนกับฐานข้อมูลเดิม
คำสั่ง RESTORE เป็นคำสั่งที่สำคัญมากสำหรับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลของคุณ คุณสามารถสำรองข้อมูลฐานข้อมูลของคุณเป็นประจำและทำการคืนค่าข้อมูลสำรองเมื่อฐานข้อมูลของคุณเสียหายหรือสูญหาย