Implementing Hexagonal Architecture
ส่วนนี้จะไม่มีการเขียน logic เพื่อให้ section นี้ไม่ยาวจนเกินไป
ก่อนอื่นการจะเปลี่ยน Architecture แบบชุ่ย(ที่ทำใน Http handle บทความก่อน) ไปเป็น Hexagonal Architecture เราต้องสร้างหลายๆอย่างทำให้โค้ด base เปลี่ยนค่อนข้างเยอะแต่ก็จะขอให้ค่อยๆทำไปในความเร็วของตัวเองครับ
การจะทำ Hexagonal Architecture อย่างที่บอกไปใน introduction เราจำเป็นต้องมี Port ที่เป็น interface ก่อน ซึ่ง interface ในที่นี้คือการกำหนดชื่อของ function รวมถึง parameter และ return statement ด้วย งั้นก่อนอื่นเรามาสร้าง folder เพื่อให้เข้าใจง่ายว่าส่วนไหนคือส่วนไหนของ Hexagonal Architecture กันดีกว่า ซึ่งในที่นี้เราจำเป็นต้องสร้าง 3 folder นั้นคือ Repository, Service, และ Handler
เราจะเริ่มสร้างจากชั้นที่ลึกที่สุดที่เก็บข้อมูลไปถึงชั้นที่เอาข้อมูลที่ประมวณผลแล้วไปแสดงให้ user สามารถเรียกได้ หรือก็คือเราจะสร้าง repository -> service -> handler นั้นเอง
Repository
1. สร้างไฟล์ชื่อว่า user.go
ขึ้นมาใน folder repository และโค้ดด้านในเราจะเก็บ struct (model ของข้อมูล) และ interface ที่เป็น "Port "นั้นเอง
package repository
type User struct {
Id int64 `json:"id"`
Email string `json:"email"`
Password string `json:"password"`
Secret string `json:"secret"`
}
type UserRepository interface {
CreateUser(email string, password string, secret string) (*User, error)
CheckUser(email string) (*User, error)
GetUsers() ([]*User, error)
}
ซึ่ง model พวกนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามที่เราออกแบบไว้ได้เลย แต่ส่วนมากจะนำข้อมูลที่มีอยู่ใน database มาเป็น struct นั้นเอง ส่วน interface ก็สามารถเปลี่ยนไปตามที่เราออกแบบได้เช่นกัน ซึ่ง method พวกนี้จะเป็นการ query, insert, update, หรือ delete ข้อมูลต่างๆที่เป็นขั้นสุดท้ายที่ติดต่อกับ database แต่ใน session นี้ขอให้มีเท่านี้ก่อนครับ
2. สร้างไฟล์ user_db.go
ขึ้นมาใน folder เดียวกัน ซึ่งไฟล์นี้จะมาทำหน้าที่เป็น "adapter" ฝั่งที่ติดต่อกับ database ของเรานั่นเอง
package repository
import (
"database/sql"
)
type userRepositoryDB struct {
db *sql.DB
}
func NewRepositoryDB(db *sql.DB) userRepositoryDB { // รับ instance database ที่เราจะใช้มาแล้วออกมาเป็น "Adapter" repository
return userRepositoryDB{db: db}
}
func (u userRepositoryDB) CreateUser(email string, password string, secret string) (*User, error) {
// implement me
fmt.Print("User Inserted")
return nil, nil
}
func (u userRepositoryDB) CheckUser(email string) (*User, error) {
// implement me
fmt.Print("User Fetched")
return nil, nil
}
func (u userRepositoryDB) GetUsers() ([]*User, error) {
// implement me
fmt.Print("Users Fetched")
return nil, nil
}
ใน file นี้จะมี struct ที่เก็บ instance ของ Database ไว้ด้วยเพื่อที่จะสามารถทำ operation ต่างๆได้ (ในครั้งนี้เราจะใช้ MySQL กัน) ซึ่ง struct นี้จะเป็น private ที่จะไม่สามารถสร้างได้ในไฟล์อื่นเฉยๆแต่ต้องเรียกผ่าน function ที่สร้างไว้เท่านั้น และเนื่องจากเราจะทำให้ instance นี้เป็น Adapter เราจึงจำเป็นที่ต้องมี function ต่างๆเหมือนกับ Port ของเราทั้งหมดด้วย
ผมทำการวาง print ไว้ด้วยเพื่อจะได้ test ได้โดยไม่ได้สร้าง logic มาก และเนื่องจากตอนนี้เรายังไม่ได้วาง port ไว้ เราเลยต้องไปสร้าง service ก่อนนั้นเอง
Service
1. สร้างไฟล์ชื่อ user.go
ขึ้นมาใน folder service ส่วนโค้ดด้านในจะคล้ายกับส่วน Repository เลยแต่จะเปลี่ยนจาก Port ของส่วน Repository ไปเป็น Port ของ Handler แทน
package service
type User struct {
Id int64 `json:"id" bson:"_id"`
Email string `json:"email"`
}
type UserService interface {
SignUp(email string, password string) (*string, *string, error)
SignIn(email string, password string) (*UserService, error)
ListUsers() ([]*User, error)
}
2. สร้างไฟล์ชื่อ user_service.go
ขึ้นมาใน folder เดียวกันซึ่งไฟล์นี้จะเป็นหน้าที่เก็บ logic ต่างๆก่อนที่จะไปเรียกทำ operation database และก็เป็นที่วาง Port ของ repository ด้วยนั่นเองทำให้ userService สามารถเรียกใช้ function ที่มีอยู่ใน interface ได้ทั้งหมดนั่นเอง
package service
type userService struct {
repository repository.UserRepository // interface หรือ "Port" ของ repository
}
func NewUserService(userRepository repository.UserRepository) userService { // รับ "Adapter" ของ Repository
return userService{repository: userRepository}
}
func (s userService) SignUp(email string, password string) (*string, *string, error) {
// implement me
s.repository.CreateUser(email, password, "")
return &tokenString,nil, &base64string,nil, nil
}
func (s userService) SignIn(email string, password string) (*UserService, error) {
// implement me
s.repository.GetUser(email)
return nil, nil
}
func (s userService) ListUsers() ([]*User, error) {
users, err := s.repository.GetUsers()
if err != nil {
return nil, err
}
var userResponse []*User
for _, user := range users {
userResponse = append(userResponse, &User{Id: user.Id, Email: user.Email})
}
return userResponse, nil
}
ในโค้ดนี้ผมได้มีตัวอย่างที่เรียกใช้ function GetUsers ด้วยซึ่งสังเกตุว่าเราเรียกได้โดยการเรียก s.repository.{your_function} ได้เลย เพราะว่าตัว repository ที่อยู่ใน struct userService มี interface ของ Repository เก็บไว้อยู่ และแน่นอน struct นี้จะเป็น private เช่นกันเพื่อจะไม่ให้สามารถสร้างได้ในไฟล์อื่นได้เฉยๆแต่ต้องเรียกผ่าน function ที่สร้างไว้เท่านั้นเหมือนเดิม
Handler
ส่วนสุดท้ายนั้นเราไม่จำเป็นต้องสร้าง Port เพิ่มแล้ว แต่สร้างแค่ Adapter ที่จะมาใส่ใน "Port" ของ Service
package handler
type userHandler struct {
service service.UserService // interface หรือ "Port" จาก Service
}
func NewUserHandler(userSerivice service.UserService) userHandler { // รับ "Adapter" ของ Service
return userHandler{service: userSerivice}
}
func (h userHandler) SignUp(w http.ResponseWriter, r *http.Request) {
// implement me
}
func (h userHandler) SignIn(w http.ResponseWriter, r *http.Request) {
// implement me
}
func (h userHandler) ListUsers(w http.ResponseWriter, r *http.Request) {
// implement me
}
ทีนี้ structure ของเราก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ภาพเมื่อนำไปใช้จริงก็เป็นประมาณนี้
ในไฟล์ main.go
package main
func main() {
s := &http.Server{
Addr: ":8080",
ReadTimeout: 10 * time.Second,
WriteTimeout: 10 * time.Second,
MaxHeaderBytes: 1 << 20,
}
db, err := sql.Open("mysql", config.C.DB_HOST)
if err != nil {
panic(err)
}
userRepository := repository.NewRepositoryDB(db)
userService := service.NewUserService(userRepository)
userHandler := handler.NewUserHandler(userService)
http.HandleFunc("/signup", userHandler.SignUp)
http.HandleFunc("/signin", userHandler.SignIn)
http.HandleFunc("/listuser", userHandler.ListUsers)
if err := s.ListenAndServe(); err != nil {
panic(err)
}
defer db.Close()
}
เมื่อเราลอง call function ก็จะได้ว่ามีผลลัพธ์ใน console ถูกต้องตามที่เราเขียนไว้เพื่อทดสอบ